
หากใครที่ชอบเรื่องเล่าประวัติ[removed]ศาสตร์หน่อยก็จะรู้ว่ากรุงเทพฯ ของเรานั้นเมื่อก่ อนเต็มไปด้[removed]วยคูคลองมากมายที่เชื่อมส่วนต่[removed]างๆ ของบางกอกเข้าด้วยกัน สองฝั่งริมน้ำนั้นก็จะเป็นเรื[removed]อนสวนแซมด้วยความอุดมสมบูรณ์[removed]ของธรรมชาติในพื้นที่ และหนึ่งในตัวชี้วัดความสมบูรณ์[removed]ของธรรมชาติในพื้นที่แถบลุ่มแม่[removed]น้ำอย่างกรุงเทพฯ ก็คือ หิ่งห้อย แมลงตัวน้อยที่สามารถเปล่[removed]งแสงออกมาได้ในตอนกลางคืน
แต่การจะดูหิ่งห้อยในกรุงเทพฯ ยุคปัจจุบันดูจะเป็นเรื่[removed]องไกลเกินฝันไปแล้ว เพราะบ้านของหิ่งห้[removed]อยตามธรรมชาติถูกเปลี่[removed]ยนแปลงไปตามการพัฒนาเมือง จนทำให้การดูหิ่งห้อยเป็[removed]นการออกเดินทางไปดูตามพื้นที่ต่[removed]างจังหวัด เช่นอัมพวา หรือพื้นที่อื่นๆ ที่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติยั[removed]งไม่ถูกรบกวนมากนัก
ทว่าเมื่อเร็วๆ นี้กลับมีโปรเจ็คหนึ่ง กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ไม่[removed]เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการสร้างบ้านของหิ่งห้[removed]อยให้กลับมาอีกครั้งใจกลางกรุ[removed]งเทพฯ ในชื่อ วังหิ่งห้อย ร้านอาหารที่มีอายุเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งเท่ากับอายุไขเจ้าแมลงแสงน้[removed]อยชนิดนี้
“ทำไมเราจะเอาธรรมชาติมาไว้[removed]กลางเมืองไม่ได้”
เมืองล้อมป่า
จุดเริ่มต้นของร้านวังหิ่งห้[removed]อยไม่ได้เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บ หากแต่เป็นการวางแผนปรับเปลี่[removed]ยนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็[removed]นสนามไดรฟ์กอล์ฟมาก่อนให้[removed]กลายเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับป่า ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้[removed]างความสมดุลของระบบนิเวศให้[removed]เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของหิ่[removed]งห้อย โดยเฉพาะน้ำ สิ่งสำคัญในวงจรชีวิตของหิ่งห้[removed]อย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งอาหาร วางไข่ และใช้ชีวิตอยู่กับต้นไม้ ซึ่งสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศั[removed]ยของหิ่งห้อยได้
องค์ความรู้ทั้งหมดนั้[removed]นมาจากการที่เจ้าของร้านได้เปิ[removed]ดฟาร์มเลี้ยงหิ่งห้อยของตั[removed]วเองในจังหวัดกาญจนบุรีมานานกว่[removed] า 2 ปี ทำให้มีความรู้ในการเลี้ยง และมีคนดูแลหิ่งห้อยที่ตามมาดู[removed]แลหิ่งห้อยถึงที่ร้าน ซึ่งมีหิ่งห้อยเลี้ยงไว้ถึง 3 ชนิด ตั้งแต่หิ่งห้อยดิน หิ่งห้อยน้ำจืด และหิ่งห้อยน้ำกร่อย
การสร้างบรรยากาศเดินทางจากเมื[removed]องสู่ป่าเริ่มต้นตั้งแต่ที่[removed]ทางเข้า ซึ่งเป็นกำแพงดินขนาดใหญ่ที่ไล่ความสูงจาก 6 เมตรลงมาถึงทางเข้าที่ตีทางเดิ[removed]นแคบลงมาก่อนเลี้ยวผ่านบ่อน้ำ[removed]และต้นไม้ไปสู่ประตูทางเข้[removed]าบานใหญ่ที่เมื่อผลักเข้[removed]าไปจะพบกับอีกโลกแห่[removed]งความงามของสวนสวยล้อมกรอบอยู่[removed]หลังกระจกบานใส 4 ด้าน
เราชื่นชมในการวางแลนด์[removed]สเคปของดีไซเนอร์ในการสร้[removed]างบรรยากาศซึ่งตั[removed]ดขาดเราจากโลกภายนอกได้อย่างสิ้[removed]นเชิง และทำให้เราได้ตื่นตากั[removed]บสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่ได้สร้[removed]างขึ้นเพื่อแขกที่มาแต่เพียงอย่[removed]างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นบ้านของหิ่งห้อยที่ย้[removed]ายบ้านมาอยู่ใจกลางเมืองที่นี่[removed]ด้วย
แอบดูบ้านเจ้าตัวน้อย
สิ่งที่เราเห็นได้ชัดหลังก้[removed]าวเดินเข้ามาในโซนร้านอาหารคือ[removed]การคว บคุมแสงที่เน้นใช้แสงให้น้[removed]อยที่สุด สาเหตุก็เป็นเพราะหากแสงสว่[removed]างเกินไป หิ่งห้อยก็จะหลบตัว ไม่ส่องแสงหรือออกมาให้เห็น
แต่ห้องสุดเซอร์ไพรส์ของเราเห็[removed]นจะเป็นห้องดูหิ่งห้อยที่อยู่ด้[removed]านในสุดของร้าน ซึ่งห้องลับนี้ออกแบบให้เปรี[removed]ยบเสมือนป่าทึบ ไม่มีแสงใดๆ ทั้งสิ้น โดยภายในพื้นที่นั้นจะมี[removed]การควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการปรับอุณหูมิให้[removed]เหมาะสม ทั้งเรื่องความชื้น และแสงที่ต้องมืดสนิทชนิดที่[removed]คนเข้าไปดูมองไม่เห็นอะไรแม้แต่[removed]มือตัวเอง!
แต่ข้อดีคือเราจะมองเห็[removed]นแสงไฟระยิบระยับของหิ่งห้อยนั[removed]บร้อยตัวที่พร้อมใจกันออกมาบิ[removed]นส่องเสียงเรืองรองอยู่ในห้[removed]องกระจกที่มีเพียงกระจกใสกั[removed]นระหว่างเราและเจ้าตัวน้อยที่ดู[removed]มีความสุขเมื่อได้บินออกมาหลั[removed]งจากที่ความมืดคืบคลานเข้[removed]ามาแทนที่
แต่หากใครรู้เรื่องหิ่งห้อยก็[removed]จะรู้ว่า การส่องแสงของหิ่งห้อยในตอนนี้[removed]คือ การส่องแสงเพื่อหาคู่ในช่วง 7 วันสุดท้ายของชีวิต
กินดื่มตามธาตุธรรมชาติ
หลังจากที่ยกธรรมชาติเข้ามาไว้[removed]ใจกลางเมืองแล้ว ทางครัวก็ยังทำอาหารอิงแนวคิ[removed]ดธรรมชาติ โดยทำเป็นธีมซึ่งเปลี่ยนไปทุก 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ธาตุดินในตอนนี้ ต่อด้วยน้ำ ลม ไฟ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนจะเปลี่[removed]ยนอารมณ์ของร้านไปด้วย
ด้วยความที่ดินเป็นโจทย์[removed]แรกในการทำอาหารตอนเปิดตัว อาหารจากครัวของที่นี่ก็มาจากวั[removed]ตถุดิบที่มีแรงบันดาลใจจากดิน ซึ่งได้เชฟมารังสรรค์อาหารแบบ Asian-inspired จนออกมาเป็นคอร์สเมนู 5 จาน ที่ใช้การ deconstruct หรือแยกแยะส่วนประกอบต่างๆ และนำมาปรุงใหม่ด้วยเทคนิ[removed]คแบบตะวันตก จนออกมาเป็นอาหารชื่อคุ้นเคยแต่[removed]รูปลักษณ์แปลกตา ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง ที่นำเอามันกุ้งมาต้มรวมกับเครื่[removed]องต้มยำอยู่ 2 วันก่อนจะนำน้ำซุปมากรองและเสิ[removed]ร์ฟพร้อมกุ้งตัวโต หรือจะเป็นแกงเผ็ดเป็ดย่างที่[removed]นำน่องเป็ดมาทอดสไตล์กงฟี และนำน้ำแกงมาราด ให้อารมณ์ผสม East meet West
แต่ที่เราชอบมากที่สุดเห็นจะเป็[removed]นของหวานอย่างขนมเปียกปูนที่ซ่[removed]อนตัวอยู่ใต้ช็อกโกแลตขาว เสิร์ฟบนครัมเบิลที่[removed]ทำจากงาดำหน้าตาเหมือนดิน แต่เป็นดินที่รสชาติอร่อยเหลื[removed]อเกิน
ส่วนค็อกเทลนั้นมีให้[removed]ลองหลากหลายตัวพร้อมคอนเซปต์[removed]ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น Farmer’s Delight ที่ทำจากรัมไทยเสิร์ฟพร้อมผงพริ[removed]กเกลือบนริมขอบแก้วเพิ่มรสชาติ[removed]เผ็ดจัดจ้านขึ้นมาตามสไตล์[removed]ชาวนาโดยมีองุ่นดองวางไว้ให้จิ้[removed]มพริกเกลือข้างๆ
หรือจะเป็นค็อกเทลชื่อไทยอย่าง โพล้เพล้ ที่นำวอดก้ามา infuse กับอัญชัญ ก่อนนำมาชงกับมะนาวและไข่[removed]ขาวออกมาเป็นครีมฟองนุ่ม หรือจะเป็นตัวผสมกาแฟอย่าง Conversation ที่นำกาแฟ cold brew มาผสมกับน้ำเสาวรส ใบโรสแมรี และใบไธม์
แน่นอนว่าระหว่างมื้อเราไม่เพี[removed]ยงแต่จะเพลินไปกับอาหารไทยในมุ[removed]มมองใหม่แล้ว เรายังได้ชมหิ่งห้อยท่[removed]ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่ทำให้[removed]เราลืมไปเลยว่า เราอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ
ราคา: 2,400 บาทต่อคอร์ส
ที่อยู่: 149 ถนนริมทางรถไฟหลัง RCA (ถนนโลคัลโรด) บางกะปิ ห้วยขวาง โทร. 091-979-6226 เปิดทุกวัน 18:30-23:30 น. www.facebook.com/WangHingHoi
โพสต์โดย Uber Editor